เล่าให้ฟัง จากหนังสือ "Journal จัดระเบียบใจ"
เราสามารถเป็นคนที่ดีขึ้นในทุกๆ ด้าน ด้วยการจดบันทึก!!
“ชั้วขณะที่คุณปลดปล่อยความคิดผ่านตัวอักษร สมองจะผ่อนคลาย จิตใจที่ยุ่งเหยิงจะกลับมาเข้าที่เข้าทาง และได้พบกับทางออกของปัญหาที่เผชิญอยู่”
ประโยคจากคำโปรยปกหลังของหนังสือเล่มนี้ ชักชวนให้เราสนใจเรื่องการเขียนได้ดีทีเดียว เพราะสิ่งที่ได้รับไม่ใช่แค่เรื่องการจดจำเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงสภาพจิตใจของเราอีกด้วย
หนังสือเล่มนี้จะ เอาเรื่องการเขียนหรือ Journaling ไปผูกเอาไว้กับการทำสมาธิ หรือที่ผู้เขียนเขาใช้คำว่า “การทำสมาธิด้วยการเขียน” ซึ่งเรื่องนี้จะสามารถช่วยให้เรา จดจ่อกับสิ่งต่างๆ ได้ดี มีพลังงานบวก และยังสามารถควบคุมสติ จัดการความเครียด และช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อีกด้วย
หนังสือเล่มนี้จะมีสองส่วนด้วยกัน ส่วนแรกก็เป็นเนื้อหาที่เกี่ยวกับข้อดีของการเขียนบันทึก และมีวิธีการเขียนบันทึกแบบต่างๆ มาแนะนำด้วย ส่วนที่สองจะเป็นแบบฝึกหัด โดยจะมีหัวข้อกำหนดให้เรา และเราก็เขียนไปตามหัวข้อนั้นๆ ผมจะขอหยิบเอาบางส่วนที่ผมชอบและรู้สึกว่าน่าสนใจมาเล่าให้ฟังนะครับ
การทำสมาธิด้วยการเขียน ช่วยพัฒนาศักยภาพการจดจ่อ
การจดจ่อเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับยุคสมัยที่เต็มไปด้วยสิ่งเร้าอย่างในปัจจุบัน การจดบันทึกช่วยให้เรากลับมาอยู่กับปัจจุบันได้ดีขึ้นไม่ต่างจากการนั่งสมาธิ เราฝึกสมาธิเพื่อที่จะช่วยให้เราจดจ่ออยู่กับสิ่งต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น และการจดจ่อก็เป็นจุดเริ่มต้นของการตะหนักรู้อีกด้วย
ส่วนตัวผมรู้สึกเห็นด้วยกับผู้เขียนนะครับ ผมเป็นคนจดบันทึกประจำวัน และชอบที่จะเขียนสิ่งที่คิดต่างๆ ลงในสมุดโน้ตเล่มเล็กๆ เพราะผมรู้สึกว่ามันช่วยจัดระเบียบความคิดที่เรามีในหัวให้จับต้องได้ เพราะเราได้เห็นว่าความคิดต่างๆ มันลงมาอยู่ในหน้าสมุดโน้ตแล้ว และระหว่างที่เราเขียน เราจะเกิดสมาธิจากการจดจ่ออย่างอัตโนมัติ
ถ้าใครยังรู้สึกว่าการนั่งสมาธิยังเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ลองมาใช้การเขียนบันทึกแบบง่ายๆ ดูก็ได้นะครับ เป็นอีกทางที่จะทำให้เรามีสมาธิได้ดียิ่งขึ้น
การจดบันทึกช่วยบำบัดความเสียใจ และผิดหวัง จากเหตุการณ์หรือความทุกข์ใจต่างๆ ได้
มีตัวอย่างและงานวิจัยค่อนข้างชัดเจนว่า การจดบันทึกช่วยให้ตัวเราเองสามารถปรับตัวเพื่อจัดการกับความรู้สึกเศร้า เสียใจได้ดีขึ้น หรือจะเรียกว่าการจดบันทึกช่วยบำบัดจิตใจก็ได้ครับ
เชอริล แซนด์เบิร์ก อดีตซีอีโอ facebook เธอเป็นคนหนึ่งที่ต้องตกอยู่ในความเศร้าโศกเสียใจ ที่สามีเสียชีวิตอย่างกะทันหันระหว่างที่กำลังไปเที่ยวด้วยกันที่เม็กซิโก ซึ่งเธอเล่าในหนังสือ Option B ของเธอว่า เธอผ่านพ้นเรื่องราวต่างๆ นี้ได้จากการที่เธอเขียนบันทึกประจำวันนี่เอง
นอกจากนั้นยังมีงานวิจัยจาก ดร.เจมส์ เพนเนเบเกอร์ ซึ่งเขาพบว่าคนที่เขียนบันทึกเกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตที่ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของตัวเอง เป็นเวลา 15 นาทีต่อวัน จะมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิม หดหู่น้อยลง วิตกกังวลน้อยลง ภายในไม่กี่เดือนหลังจากเริ่มเขียนบันทึกประจำวัน ไม่เท่านั้น ความดันโลหิตของพวกเขาก็ลดลงด้วย มีภูมิคุ้มกันมากขึ้น และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานมากขึ้นด้วย (การจดบันทึกแบบนี้มักจะเรียกว่า Expressive Writting)
มีวิธีการเขียนบันทึกแบบหนึ่งนะครับ ที่เป็นที่นิยมอย่างมาก และในหนังสือเล่มนี้ก็นำมาพูดถึงเช่นกัน วิธีการนี้มีชื่อว่า Morning Pages หรือการเขียนหลังตื่นนอน จากหนังสือ The Artist’s Way โดยคุณจูเลีย คาเมรอน ซึ่งวิธีการเขียนบันทึกแบบ Morning Pages เรียบง่ายมาก หลังจากที่เราตื่นนอนให้เราทำการเขียนบันทึกทันที อย่างน้อย 3 หน้า ไม่ต้องตกใจว่าจะเขียนอะไรได้ตั้ง 3 หน้านะครับ เพราะเราจะเขียนอะไรก็ได้ ที่เรารู้สึก ที่เราคิด ไม่ว่าจะเป็นความกังวลหรือปัญหาต่างๆที่มีอยู่ตอนนี้ เขียนมันออกมาให้หมด ไม่สนใจว่าจะอ่านรู้เรื่องหรือไม่ ไม่สนใจรูปแบบการเขียน คิดอะไรได้ก็เขียนออกมาเลย จนครบ 3 หน้า ก็ให้หยุด
วิธีการนี้จะช่วยให้เราเริ่มต้นวันอย่างปลอดโปร่ง เพราะเราจัดการเอาสิ่งต่างๆ ในหัวออกมาเรียบร้อยแล้ว และจะทำให้เราสามารถโฟกัสสิ่งสำคัญได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
การจดบันทึกด้วยมือดีกว่าการพิมพ์
การเขียนด้วยปากกาและกระดาษจะช่วยกระตุ้นสมอง ช่วยเรื่องการจดจำและการทำความเข้าใจได้ดีกว่าการพิมพ์ลงในเครื่อง ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าสมองของเรามีกลไกที่เรียกว่า RAS หรือ Reticular Activating System ทำหน้าที่เป็นตัวกรองสิ่งต่างๆ จากข้อมูลที่เรารับเข้ามาอย่างมหาศาลให้เหลือแค่เรื่องสำคัญที่เราสนใจเท่านั้น (เคยเป็นแบบนี้ไหมครับ เวลาที่เราชอบรถรุ่นไหน เวลาที่เราอยู่บนถนน ก็จะเห็นว่าเจอแต่คนขับรถรุ่นที่เราชอบเยอะเลย นี่เป็นเพราะการทำงานของ RAS นี่แหละครับ) และการเขียนด้วยมือเป็นการกระตุ้นกลไก RAS ได้เป็นอย่างดี
ที่น่าสนใจก็คือ มีการทดลองตรวจจับคลื่นสมองระหว่างที่เราเขียนด้วยมือ และพิมพ์ด้วยเครื่อง ผลที่ออกมาน่าสนใจมากๆ
เวลาที่เราพิมพ์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์หรือมือถือ คลื่นสมองเราจะอยู่ในช่วงคลื่นเบต้า ซึ่งเป็นคลื่นสมองปกติที่เกิดขึ้นทั่วไปเวลาเราใช้ชีวิต เวลาเราเครียดกับสิ่งต่างๆ แต่การจดบันทึกด้วยมือสมองจะอยู่ในคลื่นอัลฟา คือเป็นคลื่นเดียวกับเวลาที่เรานั่งสมาธิ ซี่งทำให้เกิดความสงบ ผ่อนคลาย มีสติ อยู่กับปัจจุบัน การทดลองนี้ให้ความชัดเจนมากๆ เลยครับสำหรับความแตกต่าง ระหว่างการจดด้วยมือ และพิมพ์ด้วยเครื่อง
ในหนังสือยังมีเรื่องต่างๆ และแบบฝึกหัดให้เราได้ทดลองเขียนอีกเยอะนะครับ นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ผมคัดมาเล่าให้ฟัง
อยากจะแนะนำให้ทุกคนได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ผมเชื่อว่าการเขียนบันทึกทุกรูปแบบ นอกจากจะฮีลใจของเราให้อยู่กับร่องกับรอยได้แล้ว ยังช่วยให้เราเป็นเราในเวอร์ชั่นที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ ด้านของชีวิตอีกด้วย ในเมื่อเรารู้ว่าเรื่องนี้ดีกับเราขนาดนี้แล้ว เราลองมาเขียนบันทึกกันดูสักหน่อยดีไหมครับ…
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
สื่อสารและทำคอนเทนต์ได้ดีขึ้น ด้วยการเขียนบันทึกประจำวัน
ยังอยู่ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ที่ผมคิดว่าหลายๆ คนยังกำลังหมกตัวอยู่กับ New year’s resolutions ประจำปีกัน วันก่อนผมแชร์เรื่องการจดบันทึกประจำวัน พร้อมกับ Notion Daily Journal Template ที่ทุกคนสามารถนำไปใช้งานได้ฟรี วันนี้ก็เลยอยากจะมาคุยเรื่องประโยชน์ของการทำบันทึกประจำวันเป็นประจำให้ฟัง และอยากจะแนะนำให้ทุกคนโดยเฉพาะคนที่มีเป้าหมายว่าปีนี้จะเริ่มต้นทำคอนเทน…
มาเริ่มต้นปีใหม่ ด้วยการสร้างนิสัยการจดบันทึกประจำวันด้วย Daily Journal กันครับ [Notion Template]
การเขียนบันทึกประจำวันคือการสร้างคู่มือการใช้ชีวิตที่ดีมาก นอกจากช่วยให้เราเข้าใจชีวิต และเปิดมุมมองใหม่ๆ ให้กับตัวเราเองในด้านต่างๆ แล้ว มันยังช่วยเพิ่มทักษะการเขียน การเรียบเรียงสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในหัวได้ดียิ่งขึ้นด้วย ส่วนตัวผมคิดว่า การเขียนบันทึกประจำวันเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายและดีต่อทุกๆ คน วันนี้เลยอยากจะชวนนะครับ ให้พวกเรามาทำบันทึกประจำวันกัน..